จากสภาพโครงสร้างของประชากร และปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆทั้งมุสลิมพื้นเมือง ชาวอาหรับ เบอร์เบอร์และกลุ่มทหารรับจ้างที่ค่อยๆเข้ามามีบทบาทในการปกครองตามหัวเมืองต่างๆ เมื่ออำนาจของส่วนกลางอ่อนแอลง สเปนจึงถูกแบ่งแยกออกเป็นนครรัฐท้องถิ่นเล็กๆจำนวนมาก เรียกกันว่า มุลูค อัฏเฏะวาอีฟ (ملوك الطوائف ภาษาสเปน เรียกว่า reyes de taifas)

หลังจากคอลีฟะห์แห่งดามัสกัสถูกโค่นล้มในปี ค.ศ. 750 และสถาปนาคอลีฟะห์วงศ์อับบาซิยะห์ขึ้นแทนที่แบกแดด อับดุรรอฮมาน บิน มุอาวิยะห์ (عبد الرحمن الداخل) หลานของอดีตคอลีฟะห์ฮิชาม ซึ่งรอดพ้นจากการสังหารหมู่ของพวกอับบาซิยะห์มาได้อย่างหวุดวิด ได้หลบหนีไปยังอัฟริกาเหนือ

การเข้าไปของมุสลิมอาหรับในสเปน เริ่มขึ้นหลังจากที่คอลีฟะห์(กาหลิบ)วงศ์อุมัยยะห์แห่งดามัสกัสสามารถครอบครองโมรอคโคส่วนใหญ่ไว้ได้แล้ว ในตอนนั้นสเปนตกอยู่ใต้อำนาจของพวกวิซิโกธ ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและปกครองอย่างกดขี่ต่อชาวฮิสปาโน-โรมัน ชนพื้นเมืองของสเปน

"เมื่อปี 1947 UN มีมติแบ่งอิสราเอล-ปาเลสไตน์เป็นสองประเทศเท่าๆกัน แต่ฝ่ายอาหรับไม่ยอมรับเอง"
ข้ออ้างนี้ มักถูกกล่าวถึงเสมอ เพื่ออ้างความชอบธรรมในการก่อตั้งประเทศอิสราเอลและขับไล่ชาวปาเลสไตน์เกือบล้านคนออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
ทำไมอาหรับถึงไม่ยอมรับ ?  ข้อเท็จจริงที่มักไม่มีใครพูดถึงก็คือ

“ทันทีที่มีการประกาศตั้งประเทศอิสราเอล บรรดาชาติอาหรับซึ่งมีกำลังเหนือกว่าก็ยกทัพหวังบดขยี้อิสราเอลให้พินาศ แต่อิสราเอลสามารถเอาชนะศัตรูผู้รุกรานได้”
เรื่องนี้ถูกอ้างอิงเสมอเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดครองดินแดนของชาวปาเลสไตน์ ข้อเท็จจริงคือฝ่ายอาหรับมีกำลังพลและอาวุธด้อยกว่า ซ้ำยังมีความแตกแยกกันเอง โดยเฉพาะระหว่างอียิปต์และจอร์แดน

"ชาวปาเลสไตน์ต้องกลายเป็นผู้อพยพ เพราะเมื่อปี 1948 ชาติอาหรับได้สั่งให้ชาวปาเลสไตน์อพยพออกมา เพื่อได้กวาดล้างยิวให้หมด แต่เมื่ออาหรับแพ้ พวกเขาเลยกลับไม่ได้”

ตั้งแต่ดินแดนส่วนใหญ่ของสเปน ถูกรัฐคริสเตียนที่ประกอบด้วยแคชตีล อะรากอนและโปรตุเกสพิชิตไปในช่วงครึ่งแรกของคริสตวรรษที่ 13 ก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ของสังคมต่างวัฒนธรรมต่างความเชื่ออันได้แก่มุสลิม คริสเตียนและยิว ซึ่งนักประวัติศาสตร์สเปนในปัจจุบันเรียกกันว่า convivencia ซึ่งแปลว่า “การอาศัยอยู่ร่วมกัน”

ประมาณปี ค.ศ. 1250 พื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรไอบีเรียตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์แห่งอะรากอน แคชตีลและโปรตุเกส มีเพียงเกรนาดาและดินแดนโดยรอบทางตอนใต้ที่มุสลิมยังสามารถครอบครองอยู่ต่อมาอีกประมาณ 250 ปี 

เกิดขึ้นระหว่าง 15-20 สิงหาคม ค.ศ.636 ริมแม่น้ำยัรมูกในจอร์แดน ระหว่างกองทัพโรมันตะวันออก(ไบแซนไทน์)และกองทัพอาหรับของเคาะลีฟะห์รอชิดูนแห่งมะดีนะห์ ผลของสงครามเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจในซีเรียและตะวันออกกลางไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

“หากฝ่ายอาหรับมีชัยในสงครามนี้ ก็คงได้เห็นมัสยิดตั้งตระหง่านในลอนดอนและปารีสแทนที่จะเป็นมหาวิหารอย่างทุกวันนี้ และเสียงท่องจำอัลกุรอานก็คงมาแทนที่พระคัมภีร์ไบเบิลในออกซฟอร์ดและสถาบันศึกษาชั้นนำอื่นๆของยุโรปเป็นแน่”
 

El Ultimo Suspiro del Moro “สะอื้นสุดท้ายของพวกมัวร์” ชื่อที่คนในท้องถิ่นแถบนั้นเรียกเนินหินเตี้ยๆที่ครั้งหนึ่งเจ้าชายอาหรับยืนหันไปดูอาณาจักรของเขาเป็นครั้งสุดท้าย เนินแห่งนี้อยู่นอกเมืองเกรนาดา ทางภาคใต้ของสเปน

 เหรียญทองหนัก 4.28 g นี้ ผลิตบนเกาะอังกฤษ ประมาณร้อยห้าสิบปีหลังการเสียชีวิตของท่านศาสดามุฮัมมัด 
ด้านแรก สลักกลางเหรียญเป็นภาษาอาหรับอ่านว่า lā-ilaha il-Allāh waḥdahu la sharīkalah (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ ผู้ทรงเอกะ ไม่มีสิ่งใดเทียบพระองค์ได้"