คอร์โดบา เมืองหลวงของอุมัยยะห์ในสมัยของอับดุรรอฮมานที่ 3 จนถึงสมัยของอัลมันซูร เป็นมหานครที่ใหญ่โตและเจริญรุ่งเรื่องมากที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป เป็นศูนย์กลางทางอารยธรรมเคียงคู่คอนแสตนติโนเปิลและแบกแดด ด้วยประชากรครึ่งล้านคน บ้านเรือน 113,000 หลัง เขตชานเมือง 21 แห่ง มัสยิด 3,000 แห่ง หอสมุดกว่า 70 แห่ง สถานที่อาบน้ำสาธารณะ และพระราชวังหลายสิบแห่ง ตามบันทึกของนักประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
ทำให้มหานครแห่งนี้เป็นที่ประทับใจของผู้มาเยือน ปรากฏอยู่ในบันทึกของนักเดินทางยุคนั้น ถนนหนทางที่ได้รับการปูพื้นอย่างดีและสว่างไสวจากโคมไฟสาธารณะ เมื่อเทียบกับปารีสขณะนั้น ผู้คนที่เดินตามท้องถนนในหน้าฝน อาจต้องย่ำลงโคลนที่ลึกถึงตาตุ่ม และอีก 700 ปีพึ่งจะปรากฏโคมไฟสาธารณะในลอนดอน และขณะที่นักศึกษาของออกซ์ฟอร์ดถือว่าการอาบน้ำเป็นการปฏิบัติของพวกนอกรีต นักปราชญ์แห่งคอร์โดวากลับนิยมอาบน้ำในที่อาบน้ำสาธารณะที่มีอยู่ทั่วไปในเมือง บันทึกของซะอิด(เสียชีวิต ค.ศ. 1070) นักกฏหมายที่ถูกส่งไปพบกษัตริย์ออตโตของเยอรมัน ที่ระบุว่า "เพราะดินแดนของพวกเขา ดวงอาทิตย์ไม่ได้พาดผ่านหัวโดยตรง อากาศจึงหนาวและเย็นยะเยือก มีผลต่อนิสัยของพวกเขา ทำให้เป็นคนนิ่งเฉยและหยาบคาย แม้ร่างกายจะใหญ่โต กำยำ แต่หาได้มีความปราชญ์เปรื่องไม่ ส่วนใหญ่เป็นคนโง่" สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของอาหรับสเปนที่ดูถูกชาวยุโรปขณะนั้นเป็นอย่างดี เมื่อใดที่กษัตริย์ของลียอง นาวาเรีย หรือบาร์เซโลนา ต้องการแพทย์ สถาปนิก นักร้อง หรือแม้แต่ช่างตัดเสื้อ ก็จะนึกถึงคอร์โดบา เพื่อแสวงหาสิ่งที่ต้องการเหล่านั้น ในบันทึกของแม่ชีเยอรมัน ที่อยู่ไกลออกไปทางเหนือ กล่าวขานถึงคอร์โดบาว่าเป็น "เพชรเม็ดงามของโลก" แสดงให้เห็นถึงความเลื่องลือของคอร์โดบาในสายตาของชาวยุโรปขณะนั้น
![](/images/stories/spain/hourse.jpg)
คอลีฟะห์อัลฮะกัม ถือได้ว่าเป็นทั้งนักปกครองและนักปราชญ์ที่ให้การอุปถัมภ์การศึกษา ได้จ่ายค่าตอบแทนเลี้ยงดูแก่บรรดานักปราชญ์และสร้างโรงเรียนเพื่อให้การศึกษาฟรีถึง 27 แห่งในคอร์โดบา มหาวิทยาลัยแห่งคอร์โดบาถูกจัดตั้งขึ้นในสมัยคอลีฟะห์อับดุรรอฮมาน ในบริเวณเดียวกับมัสยิดกลาง ถือได้ว่านำหน้ามหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรแห่งอียิปต์ และนิซอมิยะห์แห่งแบกแดดในขณะนั้น ดึงดูดนักศึกษาจากที่ต่างๆ ไม่เฉพาะในสเปน หากแต่ยังมาจากยุโรป อัฟริกาและเอเซีย นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เช่น อิบนุล กูฏิยะห์ นักประวัติศาสตร์ และอะบู อะลี อัลกอลี ที่งานเขียนของเขาชื่อ อะมาลีย์ ยังคงถูกใช้สอนในโลกอาหรับจนถึงปัจจุบัน หอสมุดของคอลีฟะห์ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอัลฮะกัมรวบรวมหนังสือไว้ถึงสี่แสนเล่ม คอลีฟะห์ส่งตัวแทนเดินทางไปยังที่ต่างๆในโลกอิสลามเพื่อจัดหาหนังสือมาไว้ เขายอมจ่ายเงินถึงหนึ่งพันดินาร์ เพื่อให้ได้ต้นฉบับของหนังสือ อะฆอนีย์ แต่งโดยอิสฟะฮานีย์จากอิรัค นักประวัติศาสตร์ยุโรป ( เช่น Dozy ผู้เขียนหนังสือ Histoire des Musulmans) บรรยายสภาพของสเปนขณะนั้นว่า "เกือบทุกคนสามารถอ่านและเขียนได้" สภาพเช่นนี้ ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยุโรปขณะนั้น ที่การศึกษาส่วนใหญ่ตกอยู่เฉพาะกับบาทหลวง
รายได้ส่วนใหญ่ของอาณาจักรมาจากภาษีการค้า สเปนยุคนั้นเป็นภูมิภาคที่มีประชากรอาศัยกันอยู่หนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องหนังเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะในคอร์โดบาเอง จนเป็นที่มาของเครื่องหนังชั้นดีที่เรียกว่า Cordovan และคำว่า Cordwainer (ช่างทำรองเท้าหนัง) ในภาษาอังกฤษ ผ้าไหมและขนสัตว์เป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของทั้งคอร์โดบา มาลากา และอัลเมอเรีย ชาวอาหรับนำเอาวิธีการผลิตผ้าไหมมาสู่สเปน ซึ่งต่อมาแพร่หลายสู่ยุโรป วาเลนเซียขึ้นชื่อในเรื่องของการผลิตเครื่องปั้นดินเผา เหมืองแร่ทองคำและเงินอยู่ที่จาเอนและอัลการ์บ มาลากาเป็นแหล่งผลิตพลอย เหมืองทองแดงและเหล็กที่คอร์โดบา โทเลโดขึ้นชื่อในด้านการผลิตเครื่องเหล็ก โดยเฉพาะดาบ กรรมวิธีการฝังเส้นเงินหรือเส้นทองเป็นลวดลายประดับบนผิวเหล็ก หรือการคร่ำทอง ถูกนำมาเผยแพร่โดยชาวอาหรับจากดามัสกัส และเป็นที่มาของคำว่า Damascene (เหล็กคร่ำทอง) ในภาษาอังกฤษ(damasquiner ในภาษาฝรั่งเศส และ damaschino ในภาษาอิตาเลี่ยน)
ชาวอาหรับยังเป็นผู้นำความรู้ในการทำเทคนิคการเกษตรและพันธุ์พืชหลายชนิดสู่ยุโรป เช่น ข้าว ( rice มาจากคำว่า arroz ในภาษาสเปน ซึ่งเพี้ยนมาจาก al-aruzz ในภาษาอาหรับ รากศัพท์เดิมมาจากภาษาสันสฤต) ต้นแอปปริคอต (apricot มาจากคำว่า albaricoque ในภาษาสเปน ซึ่งเพี้ยนมาจาก al-barquq ในภาษาอาหรับ) ต้นพีช ทับทิม ส้ม (ส้มที่แพร่หลายในยุโรป ถูกนำมาจากอินเดีย โดยชาวโปรตุเกสในภายหลัง) ต้นอ้อย ต้นฝ้าย (cotton มาจากคำว่า coton ในภาษาสเปน ซึ่งเพี้ยนมาจาก al-qutn ในภาษาอาหรับ) และหญ้าฝรั่น การจัดสวนที่เรียกว่า Generalife ( มาจากคำว่า Jannah al-arif ในภาษาอาหรับ) ที่เลื่องลือให้เรื่องของความงาม ศิลปะการตกแต่งต้นไม้ ประเภทของพันธุ์ไม้พุ่ม ลำธารและน้ำตกที่สอดคล้องกับอาคารโดยรอบ ก่อให้เกิดความลงตัวระหว่างสายลมและสายน้ำ สิ่งนี้เป็นมรดกที่ชาวอาหรับสเปนถ่ายทอดไว้ให้ชาวยุโรป
![](/images/stories/spain/cordoba6.jpg)
![](/images/stories/spain/cordoba2.jpg)
![](/images/stories/spain/cordoba1.jpg)
![](/images/stories/spain/cordoba4.jpg)
![](/images/stories/spain/cordoba5.jpg)
![](/images/stories/spain/cordoba3.jpg)
![](/images/stories/spain/cordoba7.jpg)
![](/images/stories/spain/cordoba8.jpg)
The Mezquita เมืองคอร์โดบา เดิมคือมัสยิดประจำเมือง
เมื่อแคชตีลยึดเมืองนี้ไป ได้ดัดแปลงโดยต่อเติมโบสถ์ไว้ตรงกลาง
ชาวอาหรับจากอียิปต์นิยมเข้าไปตั้งถิ่นฐานแถบเมืองมุรเซีย การชลประทานจึงมีรูปแบบเดียวกับที่ใช้ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ ขณะที่แถบเซวิลล์ วาเลนเซีย และเกรนาดาเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวอาหรับจากซีเรีย เทคนิคการเกษตร เช่น การใช้กังหันทดน้ำ การปรับระดับระดับผิวดินเพื่อการเกษตรและการจัดสวนในแบบของซีเรียถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ภูมิประเทศของเซวิลล์คล้ายๆกับซีเรียมาก บันทึกของนักเขียนและกวีอาหรับตั้งฉายาเมืองนี้ว่าเป็น ฮิมส์แห่งอันดาลุส (ฮิมส์ เมืองแห่งหนึ่งในซีเรีย) ภูมิประเทศและภูมิอากาศที่คล้ายคลึงกันนี่เอง ที่ทำให้ภาพยนต์เรื่อง Lawrence of Arabia ถ่ายทำกันที่เมืองเซวิลล์ ในตอนที่มีฉากของดามัสกัส
ตามทัศนะของนักประวัติศาสตร์ยุโรปบางคน เช่น Henri Pirenne มองว่าการยึดครองสเปนของอาหรับ ทำให้เส้นทางการค้าทางทะเลที่มีมาตั้งแต่สมัยโรมันตอนปลายขาดสะบั้นลง มีผลทำให้ยุโรปตะวันตกถูกตัดขาดและอับเฉา เส้นทางการค้าค่อยๆ เปลี่ยนจากดินแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนขึ้นไปทางเหนือ นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของยุโรปในศตวรรษต่อมา
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ Phillip Grierson ใน Commerce in the Dark Ages : A critique of the Edidence กลับเห็นในทางตรงกันข้าม เส้นทางการค้าที่ขาดสะบั้นลงในความหมายของ Pirenne นั้นหมายถึงเฉพาะในวงไพบูลย์ของโรมัน ซึ่งขณะนั้นไบแซนไทน์เป็นผู้สืบทอด ความจริงแล้วอาหรับต่างหากที่เป็นผู้เปิดเส้นทางการค้าของสเปญให้เชื่อมต่อกับเครือข่ายที่กว้างใหญ่กว่าในตะวันออกกลาง ซึ่งเชื่อมต่อกับอินเดีย ทะเลดำ เอเซียกลางและจีน? เส้นทางการค้าไม่เคยถูกปิดลงโดยสิ้นเชิง แม้ก่อนหน้านั้น คอลีฟะห์อับดุลมะลิค ของวงศ์อุมัยยะห์แห่งดามัสกัส (ค.ศ. 685-705 ?)จะดำเนินมาตรการปิดล้อมทางเศรษฐกิจต่อไบแซนไทน์ ปรากฏว่าเฉพาะชายฝั่งแถบตะวันออกของเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ และเกิดกับสินค้าบางรายการ เช่น กระดาษปาปิรุสและสินค้าอื่นอีกบางรายการ เครื่องเทศหรือสินค้าอื่นๆ ยังมีการค้าขายไปมาตามปกติ ไบแซนไทน์ต่างหากที่กลับเป็นผู้ปิดกั้นเส้นทางการค้านี้เมื่อสามารถฟื้นตัวขึ้นมาต่อต้านอำนาจของโลกอิสลามในช่วงปี ค.ศ. 752-827 การเผชิญหน้าระหว่างไบแซนไทน์กับอาหรับ ทำให้เศรษฐกิจของไบแซนไทน์ต้องพึ่งพาทั้งสินค้าและตลาดจากยุโรปตะวันตก สมดุลของระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคที่มีมาตั้งแต่ยุคโรมันย้อนกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม สเปนภายใต้การยึดครองของอาหรับได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายของวงศ์อุมัยยะห์ที่เป็นมิตรกับไบแซนไทน์นั่นเอง
ในคริสตวรรษที่ 10 ตอนที่อาหรับสามารถยึดครองจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้เกือบหมด (เกาะครีต ซิซิลี และหมู่เกาะบาเลียริค) อาหรับไม่ได้ปิดกั้นเส้นทางการค้า ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นตัวเชื่อมที่ทำให้ทั้งภูมิภาคสามารถเข้าสู่ตลาดนี้และเชื่อมต่อกับระบบเศรษฐกิจในส่วนอื่นของโลก(จีน อินเดีย อัฟริกาตะวันออกและเอเซียวันออกเฉียงใต้) โดยมีทองคำที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์จากอัฟริกาตะวันตกเข้ามาหล่อเลี้ยงไว้
ความจริง เศรษฐกิจของยุโรปตะวันตก ไบแซนไทน์ และโลกอิสลามพึงพาอาศัยกัน การไหลเวียนของทองคำจากโลกอิสลามสู่ยุโรปตะวันตก (เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ) และจากยุโรปตะวันตกสู่ไบแซนไทน์(เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าฟุ่มเฟือยและเครื่องเทศ) สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์นี้ สัดส่วนของมูลค่าทองคำและเงินแตกต่างกันในระบบเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาค ทองคำมักเคลื่อนไหวจากที่ที่มันมีมูลค่าน้อยไปสู่ที่ที่มันมูลค่าสูงกว่า ตรงกันข้ามกับเงิน การไหลเวียนดังกล่าวนี้กระตุ้นให้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างระบบเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาค ไม่ว่าระบบเศรษฐกิจนั้นจะมีมาตรฐานของเงินตราที่ต่างกัน (เงินใช้กันในยุโรปตะวันตก ทองคำใช้กันในไบแซนไทน์ และในโลกอิสลาม ใช้ทั้งทองคำและเงิน)
ผลของสงครามครูเสดที่เกิดจากการรุกรานของชาวยุโรปในคริสตวรรษที่ 11 ต่างหาก ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคหยุดชะงัก แต่กระนั้นก็ตาม สเปนก็ได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะพวกมุรอบิฏูนที่เข้ามายึดครองสเปน (ดูบทถัดไป) เป็นผู้ครอบครองเส้นทางของทองคำจากอัฟริกาตะวันตก
จากบันทึกและหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ (เหรียญเงิน สินค้า) แสดงให้เห็นว่าการค้าของสเปนในยุคอุมัยยะห์มีการเชื่อมต่อกับอเลกซานเดรีย คอนสแตนติโนเปิล ยุโรปตะวันตก ดามัสกัส และแบกแดด มีสินค้าของสเปนปรากฏอยู่ไกลถึงอินเดียและเอเซียกลาง ศัพท์ทางการค้าและการเดินเรือหลายสิบคำมาจากภาษาอาหรับ เช่น admiral ( มาจากภาษาอาหรับ amir al-bahri) arsenal average (จากภาษาอาหรับ awariyah) cable corvette ( corbeta ในภาษาสเปน เพี้ยนมาจาก ghurab ในภาษาอาหรับ) และ tariff บันทึกของอัลอิดรีซีย์ นักภูมิศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในยุคกลาง กล่าวถึงการเดินเรือของบุคคลกลุ่มหนึ่งในมหาสมุทรแอนแลนติค ซึ่งชาวอาหรับเรียกว่า bahr al-zulumat (ทะเลแห่งความมืดมิด) โดยออกจากเมืองท่าลิสบอน(อาหรับ เรียก อัลอุชบูนะห์) ไปประมาณ 35 วันทางตะวันตก ก็พบเกาะๆหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน (อาจจะเป็นเกาะในหมู่เกาะคานารีย์หรือเคปเวอร์ด)
![]() |
เหรียญเงินสมัยอับดุรรอฮมานที่ 3 ด้านหนึ่งของเหรียญระบุว่า لا اله الا الله وحده لا شرك لهและ بسم الله ضرب هذا الدرهم بالاندلس سنة ثلثين و ثلث مئة และ الامام الناصر لدين الله عبد الرحمن امير المؤمنين قاسم |
เหรียญกษาปณ์ของมุสลิมสเปนเรียกกันว่า ดินาร์ สำหรับเหรียญทองคำ และดิรฮัมสำหรับเหรียญเงิน ไม่ได้แตกต่างไปจากหน่วยที่ใช้กันอยู่ในตะวันออกกลางขณะนั้น เหรียญเหล่านี้ยังนิยมใช้ในรัฐคริสเตียนตอนเหนืออยู่นานถึง 400 ปี เคียงคู่เงินตราของฝรั่งเศส
ตลอดสมัยการปกครองของวงศ์อุมัยยะห์ สะท้อนให้เห็นการรักษาสมดุลระหว่างกลุ่มอำนาจทางสังคมที่ประกอบขึ้นจากหลายๆเชื้อชาติ คือชาวอาหรับ เบอร์เบอร์ มุสลิมสเปนพื้นเมือง โมซาแรบ และพวกซอกอลิบะห์(ทาสผิวขาวที่ถูกอบรมให้เป็นมุสลิมและทหารตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทำนองเดียวกับทหารแจนนิสซารีในยุคออตโตมัน)
ชาวอาหรับซึ่งมีอยู่ไม่เกินแสนคน อพยพเข้ามาตั้งแต่ศตวรรษแรกของการยึดครอง เป็นชนชั้นผู้ปกครอง จะอาศัยอยู่แถบดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ตลอดฝั่งแม่น้ำกัวดัลคีวัร์ เอโบรและเจนีล บริเวณรอบๆโทเลโด และพื้นที่ที่ชลประทานเข้าถึงของภูมิภาคตะวันออกและภาคใต้ ชาวอาหรับจะรักษาขนบธรรมเนียมและผูกพันกับระบบชนเผ่าของตนค่อนข้างมาก แม้จะหันมาแต่งงานกับชาวยุโรปและอัฟริกามากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกดังกล่าวลดลง ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าจึงปรากฏให้เห็นเสมอๆ โดยเฉพาะระหว่างอาหรับเหนือ(มุฎอริบะห์) และอาหรับใต้ (ยะมานิยะห์)
ชาวเบอร์เบอร์อพยพมาจากอัฟริกาเหนือจำนวนหลายแสนคน เข้าไปอาศัยผสมผสานกับชาวอาหรับ ไม่ปรากฏว่ามีชุมชนที่พูดเฉพาะภาษาเบอร์เบอร์ชัดเจนในสเปน ส่วนใหญ่จะปรับตัวไปใช้ภาษาอาหรับหรือไม่ก็ละตินที่เป็นภาษาของชนพื้นเมืองพร้อมๆกับภาษาแม่ เกิดการลุกฮือของชาวเบอร์เบอร์เกิดขึ้นในสมัยของอับดุรรอฮมานที่ 1 ภายใต้การนำของชักยา บิน อับดุลวะฮีด ในสมัยของอัลฮะกัมที่ 1 ภายใต้การนำของอัซบัก บิน วันซุซ และการก่อกบฏของชนเผ่าเทาริลต่ออะมีรอับดุรรอฮมานที่ 2 อย่างไรก็ตามความวุ่นวายที่เกิดในสมัยของอะมีรอับดุลลอฮฺ สะท้อนให้เห็นรูปแบบของความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่แตกต่างออกไป สงครามกลางเมืองครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 889 โดยแม่ทัพอาหรับชื่อ กุรอยบ์ บิน คอลดูน แห่งเซวิลล์ ทำสงครามต่อต้านมุสลิมสเปนพื้นเมือง ปรากฏว่าเขาได้รับการสนับสนุนจากอาหรับใต้และชาวเบอร์เบอร์ภายใต้การนำของญุนัยด์ บิน วะฮฺบ อัลกัรมูนีย์ (ชาวเมืองคาร์โมนา) ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคืออาหรับเหนือ มุสลิมพื้นเมืองสเปนและเบอร์เบอร์ที่เป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มของญุนัยด์
ชาวเบอร์เบอร์ค่อยๆกลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองของชาวอาหรับ งานเขียนจำนวนมากจากสมัยนั้น สะท้อนให้เห็นกระแสเกลียดชังและกีดกันชาวเบอร์เบอร์(Berberphobia)ในหมู่ปัญญาชนอาหรับ ในงานเขียนของอิบนุ ฮัยยาน ถึงกับกล่าวโทษว่าการยอมรับและนิยมชมชอบวิถีแบบเบอร์เบอร์ของคอลีฟะห์วงศ์อุมัยยะห์ คือสาเหตุที่ทำให้เกิดกลียุค และนำไปสู่การล่มสลายของระบบคอลีฟะห์ในที่สุด
มุสลิมพื้นเมืองนับเป็นกลุ่มที่มีอยู่มากที่สุด ปัญหาหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์พยายามหาคำตอบจากประวัติศาสตร์ของมุสลิมสเปนก็คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรของสเปญหลังการยึดครอง แน่นอนว่ามีชาวอาหรับและเบอร์เบอร์จำนวนมากอพยบเข้าไปในสเปน แต่สำหรับชนพื้นเมือง การเปลี่ยนมานับถืออิสลามมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เกิดขึ้นทันทีทันใดหรือไม่ นักประวัติศสาตร์พยายามหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยพื้นฐานแล้ว มุสลิมให้การยอมรับคริสเตียนและยิวว่าเป็น "ชาวคัมภีร์" (อะห์ลุล กิตาบ) และ "ชนที่ต้องได้รับการคุ้มครอง" (ซิมมีย์) โดยพวกเขามีสิทธิและหน้าที่ตามความเชื่อทางศาสนา มีกฏหมายและผู้พิพากษาตามศาสนาของตนเอง ห้ามไม่ให้มุสลิมไปบังคับให้เปลี่ยนศาสนา แต่พวกเขาต้องจ่ายภาษีที่เรียกว่า "ญิซยะห์" แลกเปลี่ยนกับการได้รับการคุ้มครอง (ในส่วนของมุสลิม ก็ต้องเสียภาษีทางศาสนา ที่เรียกว่า "ซะกาต" )
ด้วยสภาพแห่งการยอมรับดังกล่าว กล่าวได้ว่าการเปลี่ยนมานับถืออิสลามของสเปนพื้นเมืองเกิดขึ้นจากปัจจัยและแรงผลักดันทางสังคมมากกว่าการเผยแผ่ศาสนาของนักปราชญ์โดยตรง ชนชั้นปกครองเดิม ซึ่งรู้ดีว่าตนจะสามารถคงสถานภาพดั้งเดิมของตนได้ หากเปลี่ยนเป็นมุสลิม?หรือชาวเมืองที่เห็นโอกาสในความก้าวหน้าของอาชีพการงานหรือการศึกษาจากชนชั้นผู้ปกครองและพ่อค้าที่เป็นอาหรับ หรือแม้แต่ด้วยการแต่งงาน ซึ่งอิสลามอนุญาตให้บุรุษแต่งงานกับสตรีคริสเตียนหรือยิว ฯลฯ จะเห็นว่า อับดุลอาซิซ บุตรของ มูซา บิน นุซัยร์ ผู้บุกเบิกสเปนในระยะแรก ก็แต่งงานกับภรรยาม่ายของโรเดอริก กษัตริย์ของวิซิโกธ ส่วนคอลีฟะห์อับดุรรอฮมานที่ 3 ก็เป็นลูกของทาสีคริสเตียน หรือแม้แต่อัลมันซูรก็พอใจที่จะแต่งงานกับสตรีชาวบาสก์ มากกว่าที่จะแต่งงานกับสตรีอาหรับ?บรรดาขุนนางมุสลิมที่ปกครองหัวเมืองต่างๆ เป็นคนที่มาจากตระกูลที่เคยมีอำนาจมาตั้งแต่ก่อนการยึดครองของอาหรับ ปัจจัยทางสังคมที่กล่าวมา ค่อยๆเปลี่ยนให้ชนพื้นเมืองสเปนหันมานับถืออิสลาม กลายเป็นกลุ่มชนที่ค่อยๆมีบทบาทสังคมแทนที่ชาวอาหรับในระยะต่อมา ชาวอาหรับเรียกมุสลิมใหม่นี้ว่า มุวัลละดูน
Richard W. Bulleit นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน ตั้งสมมุติฐานรูปแบบการเปลี่ยนมานับถืออิสลามของชนพื้นเมืองสเปนว่ามีลักษณะเป็นทวีคูณ ดังแผนภูมิข้างล่าง
![](/images/stories/spain/chart1.jpg)
สมมุติฐานดังกล่าวนี้ อยู่บนพื้นฐานจากการศึกษาตำราลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูลที่เขียนขึ้นในยุคดังกล่าว ในโลกมุสลิมยุคกลางนั้น การเขียนปทานุกรมเรียบเรียงลำดับชั้นของวงศ์ตระกูลจะเป็นที่นิยมกันทั่วไป ตัวอย่างหนึ่งของหนังสือที่ Bulleit ใช้วิเคราะห์ ก็คือบันทึกชีวประวัติของผู้พิพากษา(กอฎี)แห่งคอร์โดบา เขียนโดยอัลกุชานีย์ ที่มีชีวิตอยู่ในคอร์โดบากลางคริสตวรรษที่ 10 สืบสาววงศ์ตระกูลของกอฎีแต่ละท่าน ชื่อที่ปรากฏในบันทึกซึ่งแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบุคคลในวงศ์ตระกูลแต่ละช่วงอายุจากชื่อคริสเตียน เช่น Tudmir, Rudruq, Lubb ฯลฯ ค่อยๆเพิ่มไปเป็นชื่อมุสลิม เช่น Ali, Muhammad และ Umar ฯลฯ แสดงให้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของแต่ละตระกูลได้เป็นอย่างดี
แม้สมมุติฐานนี้ไม่อาจบ่งบอกตัวเลขในเชิงปริมาณได้เที่ยงตรงนัก แต่การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบนี้ก็สอดคล้องกับเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในแต่ละสมัย จากสมมุติฐานดังกล่าวนี้ เราประมาณการได้คร่าวๆว่า ประมาณปี ค.ศ. 800 หรือเกือบร้อยปีหลังการยึดครองของอาหรับ มีมุสลิมสเปนพื้นเมืองอยู่เพียงร้อยละ 8 และเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 12.5 ในอีก 50 ปีต่อมา โดยภาพรวม มุสลิมยังคงเป็นชนส่วนน้อย การเปลี่ยนมาเข้ารับอิสลามจำกัดอยู่เฉพาะชนชั้นปกครองและชนชั้นสูงของสังคม สอดคล้องกับบันทึกที่มาจากช่วงดังกล่าวที่สะท้อนให้เห็นเฉพาะเรื่องราวของชนชั้นปกครองและสังคมของผู้คนในเมือง อำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่ยังตกเป็นของชาวอาหรับและเบอร์เบอร์ที่อพยบเข้ามา โครงสร้างบริหารในรูปแบบดั้งเดิมของชาวอาหรับก็ถือว่าเพียงพอ ที่สำคัญ สิ่งนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมอับดุรรอฮมานที่ 1 ซึ่งแม้จะเป็นศัตรูกับคอลีฟะห์วงศ์อับบาซิยะห์แห่งแบกแดด แต่ก็ไม่ได้สถาปนาตนขึ้นเป็นคอลีฟะห์ แม้จะยึดสเปนมาได้ ทั้งๆที่เขาก็มาจากวงศ์อุมัยยะห์แห่งดามัสกัสที่พึ่งถูกอับบาซิยะห์โค่นล้มไป เขาคงเข้าใจดีว่าสเปนขนะนั้นยังต้องพึ่งพาโลกอิสลามจากส่วนกลาง ไม่อาจแยกตัวเป็นเอกเทศโดยสิ้นเชิงได้นั่นเอง
การติดต่อระหว่างมุสลิมกับชนพื้นเมืองค่อยๆเพิ่มขึ้น ทำให้ชนพื้นเมือง โดยเฉพาะชาวนา และประชาชนตามชนบทเข้ารับอิสลามมากขึ้น อัตราการเปลี่ยนแปลงเริ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมุสลิมพื้นเมืองเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 ในช่วงปี ค.ศ. 900 หรือในอีก 50 ปีต่อมา ชนพื้นเมืองสเปนมีบทบาทในทางการปกครองมากขึ้น เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์นี้ก็คือการก่อกบฏของอุมัร บิน ฮัฟซูน (ประมาณปี ค.ศ. 880-917) กล่าวได้ว่าคือกบฏของชนพื้นเมืองที่ต่อต้านการปกครองชาวอาหรับนั่นเอง ในฟากของคริสเตียน เราจะเห็นความไม่พอใจของผู้นำคริสเตียนต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เกิดความขัดแย้งทางศาสนาในช่วงของอับดุรรอฮมานที่ 2?เกิดกรณีของนักบุญเปอร์เฟคตุสและยูโลกิอุสที่ดูถูกเหยียดหยามท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ)ในที่สาธารณะ จนถูกโทษประหาร แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของฟากคริสเตียนต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ชนพื้นเมืองมุสลิมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นร้อยละ 50 ในปี ค.ศ. 950 ช่วงปลายสมัยของอับดุรรอฮมานที่ 3 และเป็นร้อยละ 75 ในช่วงปี ค.ศ. 1000 นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้อับดุรรอฮมานที่ 3 เห็นว่าตนเองสามารถที่จะอ้างสิทธิการเป็นคอลีฟะห์ของโลกอิสลามได้อย่างเต็มตัว
การสร้างและต่อเติมมัสยิดกลางของเมืองคอร์โดบาสอดคล้องกับสมมุติฐานนี้ เดิมทีนั้น มัสยิดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอับดุรรอฮมานที่ 1 ในช่วงปลายรัชสมัย ประมาณปี ค.ศ. 784-786 และได้รับการต่อเติมในอีก 50 ปีต่อมา สมัยของอับดุรรอฮมานที่ 2 ระหว่างปี ค.ศ. 833-848? ต่อเติมอีกครั้งในปี ค.ศ.961-966 ในสมัยของอัลฮะกัมที่ 2 และได้รับการต่อเติมครั้งสุดท้ายโดยอัลมันซูร ระหว่างปี ค.ศ. 987-990 สะท้อนให้เห็นการเพิ่มขึ้นของสัปบุรุษ ที่เกิดจากการทะยอยเข้ารับอิสลามของพื้นเมืองมากขึ้นนั่นเอง
โดยสรุปแล้ว เราประมาณการคร่าวๆ ถึงจำนวนประชากรของสเปนได้ว่ามีประชากรอยู่ประมาณ 7 ล้านคนในปีที่อาหรับเข้ายึดครอง จำนวนไม่ได้เพิ่มขึ้นไปกว่านี้มากนักในคริสตวรรษที่ 11 เพราะมีคริสเตียนจำนวนมากที่อพยพไปอยู่ทางเหนือ ประมาณปี ค.ศ. 912 ทั้งมุสลิมพื้นเมือง อาหรับและเบอร์เบอร์มีอยู่ประมาณ 2.8 ล้านคน และในปี ค.ศ. 1100 เพิ่มเป็น 5.6 ล้านคน
ลักษณะการเพิ่มขึ้นในรูปแบบดังกล่าวนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เกิดขึ้นในส่วนอื่นๆของโลกอิสลาม กว่ามุสลิมจะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอิรัค ก็ย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 3 ของอิสลาม ในอียิปต์ ใช้เวลา 4 ศตวรรษ และในอัฟริกาเหนือ ประชากรจำนวนมากยังไม่ได้เป็นมุสลิม จนกระทั่งมุสลิมที่ถูกขับไล่ออกจากสเปนในช่วงคริสตวรรษที่ 13-15 อพยพไปตั้งถิ่นฐาน
ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า คริสเตียนและยิวจะได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายอิสลาม พวกเขาได้รับอนุญาตให้ใช้กฎหมายของตนเอง มีศาลศาสนาและผู้พิพากษาของตนเองเพื่อปกครองประชาชนในชุมชนของตน ตราบใดที่ผู้ร้องทุกข์และผู้ถูกกล่าวหาเป็นบุคคลของชุมชนนั้นๆ โดยทั่วไปแล้ว อำนาจของศาสนานี้จะเกี่ยวข้องกับกฎหมายครอบครัว และความสัมพันพันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจที่ปรากฏมีอยู่ในบทบัญญัติทางศาสนา ในสมัยแรกๆ อัรรอบิอฺ หัวหน้าของชุมชนคริสเตียนในคอร์โดบาเป็นตำแหน่งสำคัญตำแหน่งหนึ่งในวังของวงศ์อุมัยยะห์ และในชุมชนยิว กฎหมายตัลมูดตามแบบการตีความของสำนักคิดบาบิโลเนียนถูกนำมาใช้
โมซาแรบ เป็นคำที่ใช้เรียกชาวคริสเตียนสเปนที่ยอมอยู่ใต้การปกครองของชาวอาหรับ ( Mozarab มาจากคำว่า Musta'rib แปลว่าผู้ที่ยอมรับภาษาและวิถีของชาวอาหรับ) ในบันทึก Indiculus luminosus ของ Paul Albar กล่าวถึงหนุ่มสาวคริสเตียนชาวคอร์โดบาในคริสตวรรษที่ 9 ว่าสนใจที่จะพูดแต่อาหรับ จนไม่สามารถพูดภาษาแม่ของตนได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่ามีงานเขียนภาษาอาหรับที่เขียนโดยคริสเตียนสเปน (อาจจะมี แต่ไม่มีเหลือมาจนถึงปัจจุบัน) คำว่า"โมซาแรบ" ปรากฏเป็นครั้งแรกในบันทึกภาษาละติน และดูเหมือนว่ามุสลิมจะไม่ได้ใช้คำๆนี้เรียกคริสเตียนสเปนเสียด้วยซ้ำ จึงเป็นไปได้คำๆนี้จะเกิดขึ้นจากการรณรงค์ของผู้นำคริสเตียนอย่างยูโลกิอุสให้ต่อต้านมุสลิม หลังพบว่ามีคริสเตียนจำนวนมากเข้ารับนับถืออิสลาม จนกลายเป็นความขัดแย้งทางศาสนาที่เกิดในช่วงของอับดุรรอฮมานที่ 2 ดังที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้นั่นเอง แม้คริสเตียนสเปญจะรับอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับได้ช้ากว่าชาวยิว แต่ในปี ค.ศ. 1085 ตอนที่แคชตีลยึดเมืองโทเลโดคืนไปนั้น พบว่าคริสเตียนทั้งหมดที่อยู่ในเมืองพูดได้เฉพาะภาษาอาหรับ
สำหรับยิว บุคคลที่มีชื่อเสียงในสมัยอุมัยยะห์ก็คือ ฮัสดาย บิน ชัฟรุต เป็นทูตและนายแพทย์ ในสมัยมุลูก อัฏเฏาะวาอีฟ(ดูบทถัดไป) ยิวจากตระกูลแนกเรลลา คือ ซามุเอลและโจเซฟ ดำรงตำแหน่งเป็นวิเซียร์ของสุลต่านวงศ์ซิรีย์แห่งเกรนนาดาซึ่งเป็นเบอร์เบอร์ ตอนนั้นเศรษฐกิจของชนชั้นกลางของเกรนนาดาตกอยู่กับชาวยิว สุลต่านจึงใช้ยิวคานอำนาจของขุนนางอาหรับ วงศ์ซิรีย์แห่งเกรนาดารักษาอำนาจของตนไว้ได้ด้วยการหลอมรวมเศรษฐกิจและการบริหารจัดการของยิวกับกองทัพเบอร์เบอร์ที่เข็มแข็ง นั่นเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดที่ยิวเคยได้รับในสมัยที่อิสลามครอบครองสเปน
ความสัมพันธ์ระหว่างชนต่างศาสนาเริ่มมีปัญหาในช่วงปลายสมัยอุมัยยะห์ ซึ่งตอนนั้นมุสลิมกำลังประสบปัญหาการเมืองภายใน และรุนแรงขึ้นในสมัยการปกครองของพวกมุรอบิฏูน (ดูบทถัดไป) คริสเตียนและยิวถูกกวาดล้างที่คอร์โดบาในปี ค.ศ. 1013 ที่ซาราโกซาในปี ค.ศ.1039 และเกรนาดา ในปี ค.ศ. 1066 พวกมูรอบิฏูนได้เนรเทศพวกโมซาแรบในปี ค.ศ. 1120 เกิดจราจลต่อต้านยิวที่คอร์โดบาในปี ค.ศ. 1135 และที่วาเลนเซียในปี ค.ศ. 1144-1145
-----------------------------------------------------------------
เรื่องที่เกี่ยวข้อง