จากสภาพโครงสร้างของประชากร และปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆทั้งมุสลิมพื้นเมือง ชาวอาหรับ เบอร์เบอร์และกลุ่มทหารรับจ้างที่ค่อยๆเข้ามามีบทบาทในการปกครองตามหัวเมืองต่างๆ เมื่ออำนาจของส่วนกลางอ่อนแอลง สเปนจึงถูกแบ่งแยกออกเป็นนครรัฐท้องถิ่นเล็กๆจำนวนมาก เรียกกันว่า มุลูค อัฏเฏะวาอีฟ (ملوك الطوائف ภาษาสเปน เรียกว่า reyes de taifas)
โดยชาวอาหรับและมุสลิมสเปนพื้นเมืองจะมีอำนาจแถบที่ราบตอนกลางและตามเมืองใหญ่ๆ เช่นเซวิลล์และโทเลโด ส่วนชาวเบอร์เบอร์ครอบครองชายฝั่งตอนใต้ ตั้งแต่คาดิซจนถึงเกรนาดา ส่วนพวกเศาะกอลิบะห์(พวกทาสที่ถูกฝึกให้เป็นทหาร)จะคุมชายฝั่งตะวันออกตั้งแต่อัลเมเรียจนถึงทอร์โทซา รัฐเล็กๆเหล่านี้ทำสงครามรบพุ่งกันเอง บางรัฐมีอาณาเขตไม่มากกว่าเมืองๆหนึ่ง และมีอายุสั้นๆ ก่อนที่จะถูกรัฐอื่นที่มีกำลังมากกว่าผนวกไปเป็นของตน แน่นอนว่าสถานการณ์ดังกล่าว เปิดโอกาสให้รัฐคริสเตียนตอนเหนือเข้ามาแทรกแซง และเปิดสงครามเพื่อยึดดินแดนสเปนคืน

วงศ์ฮูด ได้ปกครองซาราโกซาและดินแดนแถบตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1039 ทั้งยังร่วมมือกับเอลซิด อดีตแม่ทัพคริสเตียน เพื่อรบกับเคานท์แห่งบาเซโลน่าและรัฐอะรากอน วงศ์อะมีริยะห์ได้ปกครองวาเลนเซีย โดยอับดุลอะซิซ ลูกของอับดุรเราะมาน ซานเจโลที่ล้มเหลวในการยึดตำแหน่งคอลีฟะห์จากวงศ์อุมัยยะห์ วงศ์นี้ปกครองวาเลนเซียจนถึงปี ค.ศ. 1086 เมื่อถึงปี ค.ศ.1094 เมืองนี้ก็ตกอยู่ใต้การปกครองของเอลซิด (มาจากคำว่าอัซซัยยิดในภาษาอาหรับ) ผู้มีชื่อเต็มว่า โรดริโก ดิอาซ เดอ บิวาร์ (Rodrigo Diaz de Bivar) เป็นอดีตแม่ทัพของกษัตริย์อัลฟองโซที่ 6 แห่งแคชตีล เขาแยกตัวมาสถาปนาอาณาจักรของตนเองทางตะวันออกของสเปน โดยความช่วยเหลือทั้งจากพันธมิตรที่เป็นคริสเตียนและมุสลิม

บริเวณตอนกลางของสเปนโดยรอบโทเลโด ปกครองโดยตระกูลซุนนูน อะมีรอัลมะมูนแห่งซุนนูน (ค.ศ.1037-74) ขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์อัลฟองโซแห่งแคชตีล เพื่อรบกับคอร์โดบา บาดาโจสและวาเลนเซีย

ที่คอร์โดบา วงศ์ญะห์วัรตั้งตัวเป็นผู้ปกครองจนถึงปี ค.ศ. 1068 ก็ถูกผนวกเข้ากับเซวิลล์ (Seville หรือเซบิย่า อาหรับเรียกว่า อิชบิลิยะห์) ที่เกรนาดาปกครองโดยวงศ์ซีรีย์จนถึงปี ค.ศ. 1090 มะละกาตกเป็นของวงศ์ฮัมมูดิยะห์ที่เคยมีส่วนในการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในคอร์โดบาก่อนหน้านี้ ทางตะวันตกของสเปนปกครองโดยวงศ์อัฟฏอซิยะห์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1022 ?มีศูนย์กลางอยู่ที่บาดาโจส

ที่เซวิลล์ ชาวเมืองได้สถาปนาเป็นรัฐสาธารณรัฐภายใต้การนำของกอฎี มุฮัมมัด บิน อับบาด ซึ่งต่อมาได้กำจัดผู้ร่วมงานและสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ ในสมัยของทายาทคือ อัลมุอฺตะดิด (ค.ศ.1042-69) และมุฮัมมัด อัลมุอฺตะมิด(ค.ศ.1069-1091) เซวิลล์สามารถผนวกรัฐรอบข้างเช่น อัลเจซิราส อาร์คอส คาร์โมนา มุรเซีย รวมถึงคอร์โดบา ทั้งยังทำสงครามกับโทเลโดและบาดาโจส อย่างไรก็ตามเมื่อเซวิลล์ไม่อาจต้านทานกองทัพของอัลฟองโซที่ 6 ได้ เขาได้ขอความช่วยเหลือจากพวกมุรอบิฏูน


รัฐมุสลิมและคริสเตียนในสเปน หลังการล่มสลายของคอลีฟะห์วงศ์อุมัยยะห์ ประมาณปี ค.ศ. 1030


พระราชวังอัลมุดัยนา บนเกาะมาร์จอกา เกาะนี้แยกตัวเป็นรัฐอิสระช่วงปี ค.ศ. 1087-1114


พระราชวังอัลญะฟาริยะห์ ที่เมืองซาราโกซา สร้างขึ้นโดย อะหมัดที่ 1 อัลมุกตะดีร ผู้นำวงศ์ฮูด
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Palacio de la Aljaferia


ประสาทเมืองซิลเวส (อาหรับเรียกว่า ชิลบฺ شلب) สิ่งก่อสร้างของมุสลิมที่ยังเหลืออยู่ในเมือง โปรตุเกสยึดเมืองนี้ในปี ค.ศ.?1242

การรณรงค์ของคริสเตียนเพื่อพิชิตสเปนคืน (Reconquista)
เมื่อครั้งที่อาหรับทำการพิชิตสเปน พวกเขาไม่ได้ยึดครองดินแดนตอนเหนือสุดของคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งมีสภาพเป็นเทือกเขา มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง เปิดโอกาสให้รัฐคริสเตียนก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แต่มั่นคง สมัยพิชิตดินแดนใหม่ๆ ชาวเบอร์เบอร์เคยเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่แถบกาลิเซียและที่ราบลุ่มแม่น้ำดูโร แต่จากสภาพที่ไม่ค่อยเป็นมิตรของชนพื้นเมือง จึงอพยพกลับลงไปทางใต้ ในช่วงที่มุสลิมมีปัญหาการเมืองภายใน การขยายอำนาจลงมาจากแถบเทือกเขาจรดแม่น้ำดูโรปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้น ดินแดนคาตาโลเนีย ซึ่งมีบาร์เซโลนาเป็นศูนย์กลาง ก็ถูกคริสเตียนยึดไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 801 กลายเป็นแนวเขตรัฐคริสเตียนที่ประกอบขึ้นด้วยบาร์เซโลนา อะรากอน นาวาร์เรีย แคชตีลและลียองขึ้น
ช่วงที่อำนาจของวงศ์อุมัยยะห์มีความมั่นคงอยู่นั้น รัฐคริสเตียนเหล่านี้มักรบพุ่งกันเอง และเปิดโอกาสให้คอลีฟะห์เข้าแทรกแซงอยู่เสมอ แต่หลังอุมัยยะห์ล่มสลายลง แคชตีลกับลียองก็รวมตัวกันได้ในสมัยของเฟอร์ดินานที่ 1(ค.ศ. 1037-65) สถานการณ์ผลิกผันกลับ รัฐแคชตีลอาศัยจังหวะที่เมืองต่างๆของมุสลิมรบพุ่งกันเอง ยื่นมือให้ความช่วยเหลือโดยแลกกับการจ่ายส่วยที่เรียกว่า Parias ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับรัฐคริสเตียน ถึงกับเป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งปันอำนาจในหมู่กษัตริย์สเปน ดังเช่นที่กษัตริย์เฟอร์ดินานที่ 1 ได้มอบแคชตีลให้ลูกชายที่ชื่อซานโจเป็นผู้ปกครองพร้อมกับส่วยที่เรียกเก็บจากซาราโกซา อัลฟองโซได้ปกครองดินแดนลียอง พร้อมกับส่วยที่เรียกเก็บจากรัฐโทเลโด และการ์เซียได้ปกครองดินแดนกาลิเซีย พร้อมกับส่วยที่เรียกเก็บจากรัฐเซวิลล์และบาดาโจสตามลำดับ บันทึกของอิบนุ ฮัซมฺ นักปราชญ์ร่วมสมัยชาวคอร์โดบา สะท้อนให้เห็นความไม่พอใจของผู้คนต่อพฤติกรรมที่เหลวแหลกของบรรดาผู้นำนครรัฐเล็กๆ เหล่านี้
"วัลลอฮฺ ฉันสาบานว่าถ้าบรรดาทรราชเหล่านี้รู้ว่าพวกเขาจต้องมีจุดจบด้วยการเข้ารับนับถือศาสนาแห่งไม้กางเขนโดยละม่อมแล้ว พวกเขาก็น่ารีบเปิดเผยมันออกมา พวกเขาขอความช่วยเหลือจากคริสเตียน ทั้งยังยินยอมให้จับกุมมุสลิมทั้งชาย หญิงและเด็กเป็นเชลยกลับไปยังดินแดนของพวกเขา บ่อยครั้งที่ทรราชเหล่านั้นให้การคุ้มกันพวกคริสเตียนโจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และยอมเป็นพันธมิตรกับพวกคริสเตียน เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง"

หลังสมัยของเฟอร์ดินาน รัฐแคชตีลถูกแบ่งเป็นสามส่วนแก่ทายาทของเขาดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่ซานโจกับอัลฟองโซ มีเรื่องขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิจากส่วยที่ได้จากซาราโกซา จึงเกิดสงครามขึ้นที่ลานตาดา (Lantada) ในปี ค.ศ. 1068 หลายปีต่อมาอัลฟองโซขัดแย้งกับการ์เซียในเรื่องทำนองเดียวกัน สงครามที่โกลเปเจราเมื่อปี ค.ศ. 1072 อัลฟองโซเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และเข้าไปลี้ภัยอยู่ในวังของอัลมะมูนแห่งวงศ์ซุนนูนที่ปกครองโทเลโด อัลฟองโซสามารถกลับไปยึดอำนาจในลียองได้เมื่ออูร์ราคา ผู้เป็นน้องสาว สังหารซานโจ เขาสถาปนาเป็นกษัตริย์อัลฟองโซที่ 6 (ค.ศ. 1072-1109) รวบรวมแคชตีล ลียองและกาลิเซียเข้าเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง

ตอนนั้นผู้นำของวงศ์ซุนนูนแบ่งเป็นสองฝ่าย หลานชายของอัลมะมูนซึ่งถูกยึดอำนาจไปขอความช่วยเหลือจากอัลฟองโซ สุดท้ายโทเลโดก็เสียเมืองให้แก่ทหารของอัลฟองโซในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1085 และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัฐแคชตีล นับเป็นเมืองใหญ่เมืองแรกของมุสลิมสเปนที่ถูกคริสเตียนยึดคืนไป ทั้งยังเป็นจุดหักเหสำคัญในการรณรงค์เพื่อพิชิตสเปนคืน จากเมืองโทเลโด ทหารของอัลฟองโซใช้เป็นฐานที่มั่นในการขยายดินแดนลงทางใต้ หลายปีต่อมา อัลฟองโซต้องสู้รบกับรัฐคริสเตียนนาวาร์เรียเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการเก็บส่วนจากซาราโกซา เขายังเรียกร้องให้เซวิลล์และเกรนาดาจ่ายส่วยเพิ่ม บังคับให้รัฐเหล่านั้นยอมรับแม่ทัพทหารที่เขาส่งไปให้เป็นผู้จัดเก็บส่วยโดยตรง ส่งแม่ทัพอัลวาร์ ฟาเนซควบคุมอันดาลูเซียตอนกลาง และส่งการ์เซีย จิเมเนสคุมป้อมอเลโดที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1088 เพื่อคุมเชิงอัลเมอเรียและมุรเซีย เมืองท่าสำคัญในการติดต่อกับฝั่งอัฟริกา ตลอดจนส่งแม่ทัพที่มีชื่อเสียงคือเอลซิด เข้าควบคุมวาเลนเซีย


คาบสมุทรไอบีเรียในปี ค.ศ. 1086 ก่อนการเข้ามาของพวกมุรอบิฏูน
 
ในระยะแรกๆ ที่รัฐคริสเตียนแผ่อำนาจลงใต้ เราจะพบการประนีประนอมทางศาสนาค่อนข้างมาก กษัตริย์คริสเตียนเห็นว่ามุสลิมและยิวเป็นควบคุมการค้าและเป็นช่างฝีมือที่มีส่วนสำคัญต่ออาณาจักรคริสเตียนที่กำลังขยายตัว จึงให้สิทธิเสรีภาพเพื่อดึงดูดไม่ให้อพยพออกไปจากดินแดนที่ถูกพิชิตได้ พวกคริสเตียนเองเมื่อได้มาพบเห็นวัฒนธรรมและคงวามเจริญที่สูงกว่าของพวกอาหรับ ก็ยอมรับที่จะนำมาใช้ด้วยความเต็มใจ บุคคลที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในกรณีนี้คือเอลซิด ผู้ซึ่งนักประวัติศาสตร์ยอมรับว่านิสัยใจคอของเขามีลักษณะของความเป็นมุสลิมพอๆกับที่เขาเป็นคริสเตียน กษัตริย์แคชตีลยังได้แต่งตั้งเคานท์ ซิซนานโด เดวิดีซ เป็นผู้ว่าการเมืองโทเลโด บุคคลผู้นี้เคยถูกอาหรับจับเป็นเชลยและอาศัยอยู่ที่เซวิลล์ ที่ซึ่งเขาได้มีโอกาสศึกษาภาษาอาหรับและวิทยาการแขนงต่างๆ จนได้เป็นขุนนางในวังของกษัตริย์มุสลิม ด้วยสาเหตุที่ไม่ชัดเจนนัก เขาหนีกลับไปยังรัฐคริสเตียน และต่อมากลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อนโยบายของกษัตริย์แคชตีลที่เกี่ยวกับรัฐมุสลิมสเปน

อย่างไรก็ดี ในระยะหลังๆ สภาพของการประนีประนอมดังกล่าวเปลี่ยนไปจากอิทธิพลของโป๊ป บรรดาขุนนางและบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาอาศัยอยู่ในสเปน ผู้มีบทบาทสำคัญก็คือราชินีคอนสแตนซ์ ธิดาของดุกโรเบิร์ตแห่งเบอร์กันดี หลานสาวของเซนต์ฮุกแห่งคลูนี และเป็นมเหสีคนที่สองของอัลฟองโซ? ?อีกคนคืออาร์คบิชอบเบอร์นาด หนึ่งในบาทหลวงจากคลูนี เป็นที่ทราบกันดีว่าสงครามครูเสดเป็นผลมาจากการรณรงค์ของบรรดาบาทหลวงแห่งคลูนี่ในฝรั่งเศสนั่นเอง บุคคลทั้งสองได้ยุยงให้อัลฟองโซขับไล่มุสลิมออกจากเมืองโทเลโด ยกเว้นพวกช่างฝีมือบางส่วน อาร์คบิชอบเบอร์นาดเป็นตัวตั้งตัวตีให้บรรดาเหล่าอัศวินเข้ายึดมัสยิดประจำเมืองโทเลโด ซิซนานโดพยายามต่อต้านนโยบายดังกล่าว แต่ไม่ประสบผล บันทึกของฝ่ายอาหรับเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปรากฏอยู่ในบันทึกของอิบนุ บัซซัม (Ibnu Bassam) ที่ระบุว่า

"ความคิดของซิซนานโดก็คือการรักษาสถานภาพเดิมของโทเลโดไว้... เขากล่าวแก่อัลฟองโซว่า จงให้การคุ้มครองประชาชน เก็บภาษีพวกเขาเป็นการแลกเปลี่ยน อย่าให้เกิดความขุ่นเคืองกับบรรดากษัตริย์มุสลิมในคาบสมุทร เพราะท่านจะไม่สามารถกระทำการใดๆโดยปราศจากพวกเขาได้ ตระหนักว่าหากท่านระบายความโกรธด้วยการลงโทษพวกเขาอย่างไม่ยั้ง พวกเขาจะพยายามหลีกหนีจากการควบคุมของทาน ชักชวนบุคคลที่สามเข้ามาแทรกแซง ..... การกระทำดังกล่าว(ยึดมัสยิดโทเลโด) จะก่อให้เกิดความโกรธเคือง นโยบายที่ดำเนินมาในอดีตจะไม่เกิดผลใดๆ ผู้ที่จะช่วยเหลือเราก็จะปลีกตัวออก และผู้ที่สนับสนุนเราอยู่อยู่แล้วก็จะลังเล แต่อัลฟองโซ (ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงสาปแช่งเขา) ถูกความหยิ่งยโสครอบงำ ไม่ฟังสิ่งใดนอกจากความบังคลั่งของเขา"

อิทธิพลของบาทหลวงฝรั่งเศสไม่กระทบเฉพาะมุสลิมและยิวเท่านั้น แม้แต่โบสถ์คริสเตียนที่เคยเป็นอิสระจากอำนาจของโป๊ป ก็ถูกบังคับให้ต้องยอมรับพิธีกรรมในรูปแบบของโรม ซิซนานโดเองก็ต้องลาออกจากผู้ว่าเมืองโทเลโด เมืองโคอิมบรา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศโปรตุเกส) ที่คริสเตียนยึดคืนไปในปี ค.ศ. 1063 กลายเป็นที่มั่นของบาทหลวงที่ปฏิเสธอำนาจของโป๊ป บทบาทของพวกนี้ดำเนินมาจนถึงคริสตวรรษที่ 12

สำหรับบรรดาผู้นำรัฐมุสลิม การสูญเสียเมืองโทเลโดทำให้พวกเขาตระหนักว่าการจ่ายส่วยไม่ได้รับประกันความมั่นคงของพวกเขาอีกต่อไป อีกทั้งกระแสไม่พอใจของประชาชนก็แผ่ขยายไปทั่ว ในที่สุดเมื่อมุฮัมมัด อัลมุอฺตะมิด(ค.ศ.1069-1091) ผู้นำวงศ์อับบาดแห่งเซวิลล์ เจ้าของคำพูด ?ข้ายินดีที่จะเป็นคนเลี้ยงอูฐในอัฟริกามากกว่าจะต้องไปเป็นคนเลี้ยงหมูในแคชตีล พบว่ารัฐของเขาถูกรุกรานทั้งจากทัพของอัลฟองโซและเอลซิด เขาจึงตัดสินใจส่งทูตไปขอความช่วยเหลือจากยูซุฟ อิบนุ ตะชุฟิน ผู้นำมุรอบิฏูนแห่งโมรอคโค ในปี ค.ศ. 1086
Link ที่เกี่ยวข้อง
 
----------------------------------------------------------
เรื่องที่เกี่ยวข้อง