บทความโดย ดร.คอลิด หานาฟีย์
- ประธานคณะกรรมการฟัตวา เยอรมัน
- ประธานสภาอิหม่ามและนักวิชาการในประเทศเยอรมัน
- รองเลขาธิการสภายุโรปเพื่อการฟัตวาและการวิจัย (ECFR)
- สมาชิกสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ (IUMS)


5. การจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายศาสนา
ผู้ที่คัดค้านฟัตวามัสยิดปิดกล่าวว่า การรักษาศาสนาสำคัญกว่าการรักษาชีวิต อันเป็นหลักการพื้นฐานประการหนึ่งที่อุลามาอ์ประชาชาติอิสลามเห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์
ณ จุดนี้ จำเป็นที่จะชี้แจง 3 ประการ
ประการแรก : ไม่เป็นความจริงที่อุลามาอ์อุศูลุลฟิกฮ์เห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์ว่า การรักษาศาสนาสำคัญกว่าการรักษาชีวิต
เพราะมีทัศนะจำนวนมากเห็นว่า กว่าการรักษาชีวิตสำคัญกว่าการรักษาศาสนา
อันเป็นทัศนะของนักอุศูลุลฟิกฮ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายท่าน เช่น อัลรอซี ,อัลกอรอฟี, อัลบัยฎอวีย์, อิบนุตัยมียะฮ์ , อัลอิสนะวีย์, อัลซัรกะซีย์ ฯลฯ เพราะการรักษาศาสนาเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการรักษาชีวิตก่อน และเพราะว่าอัลลอฮ์อนุโลมให้กล่าวคำพูดหลอกๆ ที่บ่งบอกถึงเป็นการสิ้นสภาพการเป็นมุสลิมเพื่อรักษาชีวิต
ประการที่สอง : สมมติว่าการรักษาศาสนาสำคัญกว่าการรักษาชีวิตเป็นทัศนะที่ถูกต้อง การงดละหมาดวันศุกร์และละหมาดญามาอะฮ์ก็ไม่ใช่เป็นการทำลายศาสนา เพราะยังมีการละหมาดที่บ้านและละหมาดซุฮ์รี่แทนละหมาดวันศุกร์
ประการที่สาม สมมติว่าการรักษาศาสนาสำคัญกว่าการรักษาชีวิตเป็นทัศนะที่ถูกต้อง แต่เมื่อเป้าหมายหลักที่จำเป็นสูงสุดของศาสนา อันได้แก่ การรักษาชีวิต ขัดแย้งกับเป้าหมายเสริม อันได้แก่ การละหมาดญามาอะฮ์ เป้าหมายหลักที่จำเป็นสูงสุดของศาสนาในการรักษาชีวิต ต้องมาก่อนเป้าหมายเสริมในการรักษาศาสนา อันเป็นทัศนะของนักวิชาการและผู้มีปัญญาทั่วไป
6. อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
คุณสมบัติของนิติศาสตร์อิสลามคือ ความโดดเด่นของเหตุผลและการไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่แปลกที่กรณีปิดมัสยิดเพราะไวรัสโคโรนาการณ์กลับตรงกันข้าม ผู้คนมากมายเข้าใจนิติศาสตร์อิสลามผ่านอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช้หลักเกณฑ์นิติบัญญัติทางหลักกฎหมายอิสลาม
จึงมีผู้กล่าวว่า พวกท่านสั่งปิดมัสยิดได้อย่างไร ทั้งๆที่มัสยิดเป็นสถานที่บำบัดรักษาโรคร้าย
และมีผู้กล่าวว่า หลักฐานการห้ามปิดมัสยิดคือ อัลลอฮ์กล่าวว่า
وَمَنْ أَظْلَمُ مِمَّنْ مَنَعَ مَسَاجِدَ اللَّهِ أَنْ يُذْكَرَ فِيهَا اسْمُهُ وَسَعَى فِي خَرَابِهَا
"และผู้ใดที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ห้ามการรำลึกถึงนามของอัลลอฮ์ในมัสยิดของอัลลอฮ์ และพยายามทำให้เสื่อมโทรม" (อัลบะเกาะเราะฮ์ : 114 )
บ้างกล่าวว่า โรคระบาดมีสาเหตุมาจากบาป การรักษาทำโดยการละหมาด ไม่ใช่การปิดมัสยิด
บางคนเชื่อมโยงความเชื่อในการลิขิตของอัลลอฮ์กับการเป็นโรคร้าย อีกทั้งยามใดที่เกิดความหวาดกลัว ท่านนบีก็จะไปละหมาด แต่เมื่อเรากลัวไวรัสกลับไปปิดมัสยิด
ตลอดจนหลักฐานที่ไม่ถูกต้องอื่น ๆ ที่ทำให้ศาสนาถูกตั้งข้อสงสัยและข้อกล่าวหาในโลกที่เปิดกว้างนี้
7. การไม่ยอมรับนิติศาสตร์เชิงสร้างสรรค์และคำถามเกี่ยวกับการกระทำของซอฮาบะฮ์และชนรุ่นก่อนในข้อเท็จจริงที่คล้ายคลึงกัน
คำถามที่ผู้ต่อต้านการปิดมัสยิดจำนวนมาก คือ โรคระบาดที่เคยเกิดขึ้นในยุคของท่านอุมัร บินค๊อตตอบ และคนอื่น ๆ พวกเขาเคยปิดมัสยิดหรือไม่ ? แม้ว่ามัสยิดจะถูกปิดและละหมาดญามาอะฮ์ถูกงดในยุคกาฬโรคระบาด แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า เพียงคำถามก็บ่งบอกถึงปัญหา จำเป็นหรือไม่ที่ทุกประเด็นใหม่เกิดขึ้นกับเราในวันนี้ ต้องมีแบบอย่างในประวัติศาสตร์ของซอฮาบะฮ์และชนรุ่นแรก ปัจจุบันเรามีความรู้ด้านการแพทย์เหมือนที่พวกท่านเหล่านั้นมีในยุคนั้นหรือ ? เราต้องปฏิบัติเกี่ยวกับไวรัสตามความรู้ที่เรามี เหมือนดังที่ท่านเหล่านั้นปฏิบัติต่อการระบาดของกาฬโรคในเมืองอัมมะวาสหรืออื่นๆ ในอดีตหรือ ?
ในการประชุมคราวหนึ่ง ข้าพเจ้าอยู่กับนักคิดชาวโมร็อกโกศาสตราจารย์อบูซัยด์ อัลอิดรีสีย์ ท่านบอกว่า ช่วงเวลาของความเห็นทางกฏหมายอิสลามไม่ควรเกิน 100 ปี หลังจากนั้นแล้วเราต้องอิจติฮาดใหม่ ข้าพเจ้ากล่าวว่า ท่านจำกัดระยะเวลาจากหะดีษเกี่ยวกับนักปฏิรูปที่อัลลอฮ์ส่งมาช่วงเริ่มต้นของทุก ๆ ร้อยปีหรือ ?
ท่านตอบว่า : ใช่
ข้าพเจ้ากล่าวว่า แต่ความเป็นจริงทางกฎหมายอิสลามบอกว่าระยะเวลาน้อยกว่านั้น ระยะเวลาระหว่างอาบูฮานิฟะฮ์และลูกศิษย์สองคนของท่าน ประมาณสามสิบหรือสามสิบห้าปี แต่ลูกศิษย์ทั้งสองของท่านมีความเห็นต่างจากอบูฮานีฟะฮ์ถึงสามในสี่ของมัซฮับ เหตุผลคือความแตกต่างด้านเวลาและสถานที่ ไม่ใช่ตัวบทหลักฐาน
ข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ใหม่ทำให้นักกฎหมายอิสลามต้องวินิจฉัยใหม่จากเจตนารมณ์และเป้าหมายของศาสนา ที่สานต่อมรดกทางวัฒนธรรม และก้าวไปตามกาลเวลาและพัฒนาการใหม่ๆ ที่สะท้อนจิตวิญญาณที่แท้จริงของศาสนา